ลิเก นาฏกรรมพื้นถิ่นไทย
จุดเริ่มต้นของลิเกในประเทศไทยมาจากการสวดบูชาในศาสนาอิสลามด้วยเพลงแขกให้เข้ากับจังหวะรำมะนาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน จนพัฒนาสู่การแสดงที่นำการพูด ร้อง รำ ผสานกับดนตรีจากวงปี่พาทย์ และดำเนินเรื่องแบบละครพื้นบ้านที่สร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชมในแต่ละยุคสมัย นับเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของลิเกที่หยิบเอาเรื่องใกล้ตัวจากสภาพสังคมหรือเหตุการณ์บ้านเมือง มาถ่ายทอดในรูปแบบของความบันเทิง
เชื่อกันว่า ลิเก เพี้ยนมาจากคำว่า ซิเกร์ ในภาษาเปอร์เซีย หมายถึง การอ่านบทสรรเสริญเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮ์พระเจ้าในศาสนาอิสลาม ลิเกในยุคแรกเรียกว่า ลิเกสวดแขก เกิดขึ้นในยุคที่ชาวไทยมุสลิมเดินทางจากภาคใต้มาตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และนำการสวดสรรเสริญพระเจ้าประกอบการตีรำมะนาเข้ามาด้วย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงเริ่มมีการแสดงลิเกสวดแขก นำโดยการสวดสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษามลายูแล้วร้องเพลงด้นกลอนภาษามลายูตอนใต้ เรียกว่าปันตุน หรือลิเกบันตน ต่อมาลิเกเริ่มนำเพลงออกภาษาของการบรรเลงปี่พาทย์ ล้อเลียนชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ในขณะนั้นมาแสดงอย่างสนุกสนาน ทั้งการแต่งกาย น้ำเสียงการพูดภาษาไทยปนกับภาษาต่างชาติ รวมถึงเพลงที่ขับร้องในหมู่ชาวต่างชาตินั้น เริ่มจากสวดแขกก่อนแล้วจึงต่อด้วยภาษาอื่น เช่น มอญ จีน ลาว ญวน พม่า เขมร ญี่ปุ่น ฝรั่ง ชวา อินเดีย ตะลุง (ปักษ์ใต้) ต่อด้วยการแสดงตลกชุดสั้นๆ ติดต่อกันไป
การแสดงลิเกที่รู้จักกันทุกวันนี้ มาจากลิเกทรงเครื่อง ซึ่งถือเป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคกลาง เริ่มขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราวปี พ.ศ. ๒๔๔๐ โดยพระยาเพชรปาณีจัดแสดงขึ้นเป็นครั้งแรกที่โรง (หรือเรียกว่า วิก) ใกล้ป้อมพระกาฬริมคลองโอ่งอ่าง เป็นการแสดงที่ผสมระหว่างการพูด การร้อง การรำ และการแสดงกิริยาท่าทางตามธรรมชาติ โดยมีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบการแสดง แต่งตัวคล้ายละครรำ แสดงเป็นเรื่องยาวอย่างละคร เริ่มด้วยโหมโรงและบรรเลงเพลงภาษาต่างๆ เรียกว่า “ออกภาษา” หรือ “ออกสิบสองภาษา” เพลงสุดท้ายเป็นเพลงแขก พอปี่พาทย์หยุดพวกตีรำมะนาก็ร้องเพลงบันตน แล้วแสดงชุดแขก เป็นการคำนับครูใช้ปี่พาทย์รับต่อจากนั้นจึงแสดงตามเนื้อเรื่อง โดยเรื่องที่แสดงนิยมใช้เรื่องจากละครนอก ละครใน ตลอดจนพงศาวดารจีน มอญ ญวน เช่น สามก๊ก ราชาธิราช การดำเนินเรื่องจะสอดแทรกบทพูดที่อิงกับเรื่องราวในแต่ละยุคสมัยและท้องถิ่นของผู้ชมเพื่อสร้างความบันเทิง
ลิเกทรงเครื่องแพร่หลายไปทั่วภาคกลางอย่างรวดเร็ว ทำให้มีวิกลิเกเกิดขึ้นมากมาย ลิเกทรงเครื่อง
จัดเป็นต้นแบบของการแสดงลิเกในยุคต่อมาเนื่องจากกระบวนท่ารำ การร้องเพลงไทยเดิม และทางในการแสดง เป็นกรอบและแบบแผนที่ใช้สำหรับการแสดงลิเก โดยเฉพาะเพลงรานิเกลิงหรือราชนิเกลิงที่ครูดอกดิน เสือสง่า ครูลิเกในอดีตเป็นผู้คิดขึ้น และใช้เป็นทำนองเพลงหลักสำหรับดำเนินเรื่องสืบต่อมา
การแสดงลิเกทรงเครื่องเริ่มขาดช่วงไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๔ เนื่องจากประสบปัญหาการขาดแคลนวัสดุเครื่องแต่งกายซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ผ้าและเพชรเทียม ทำให้การแต่งกายชุดลิเกทรงเครื่องหมดไป ส่วนวงรำมะนาที่ใช้กับการออกแขกก็เปลี่ยนไปใช้วงปี่พาทย์แทนเพื่อเป็นการประหยัด เกิดเป็นลิเกลูกบทที่เป็นการแสดงผสมกับการขับร้องและบรรเลงเพลงลูกบท ร้องและรำไปตามกระบวนเพลง ใช้ปี่พาทย์ประกอบแทนรำมะนา แต่งกายตามที่นิยมในสมัยนั้นๆ เน้นสีฉูดฉาด ผู้แสดงเป็นชายล้วน จวบจนเมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ การแสดงลิเกทรงเครื่องจึงเริ่มมีการฟื้นฟูอีกครั้ง และเพิ่มมิติทางสังคมเข้าไปมากขึ้น การแสดงลิเกยุคนี้เริ่มนำการแสดงประเภทอื่นๆ เข้ามาเสริมเพื่อสร้างความบันเทิงมากขึ้น เช่น เพลงลูกทุ่งเพลงจากภาพยนตร์อินเดีย เน้นการทำฉากให้ดูสมจริง และปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้มีความตระการตาขึ้น อรรถรสในการชมลิเกไม่ว่าจะเป็นประเภทใดส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับฝีมือของนักแสดงซึ่งต้องเป็นผู้มีปฏิภาณในการร้องและเจรจา สามารถจดจำบทได้อย่างแม่นยำ ด้นกลอนสดได้ และที่สำคัญคือมีเสียงร้องอันไพเราะจับใจผู้ชม
ลิเกนับเป็นมหรสพที่สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นไทย แฝงไว้ด้วยขนบประเพณี ค่านิยม การใช้ภาษา
นาฏศิลป์ ดนตรี จิตรกรรม และการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ภูมิปัญญาดังกล่าวของการแสดงลิเกเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ ฝึกฝน สั่งสมประสบการณ์และถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยที่ยังคงรักษาภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เห็นว่าดีงามเหมาะสมไว้ ขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนพัฒนาภูมิปัญญาบางอย่างไปตามยุคสมัยเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน ลิเกจึงเป็นการแสดงที่ได้รับความนิยมตลอดมา เนื่องจากเนื้อหาที่นำมาใช้แสดงสามารถให้ความบันเทิงกับผู้ชมได้เป็นอย่างดี
ลิเกป่า
เป็นพัฒนาการของลิเกอีกสายหนึ่งที่นิยมเล่นกันในกลุ่มคนมุสลิมทางภาคใต้ ลิเกป่า หรือ ลิเก
รำมะนา หรือลิเกบก ใช้เครื่องดนตรีประกอบด้วย กลองรำมะนา หรือโทน ๒ – ๓ ใบ ปี่ ๑ เลา ฉิ่ง ๑ คู่
กรับ ๑ คู่ บางคณะอาจจะมีโหม่งและทับด้วย มีนายโรงเช่นเดียวกับหนังตะลุงและมโนราห์ ผู้แสดงลิเกป่า
คณะหนึ่งมีประมาณ ๖ – ๘ คน การแสดงจะเริ่มด้วยการโหมโรงเกริ่นวง จากนั้นแขกขาวกับแขกแดง
จะออกมาเต้นและร้องประกอบ โดยมีลูกคู่ร้องรับ ต่อด้วยการบอกเรื่องราว แล้วจึงเริ่มทำการแสดง
อ่างทองเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี ซึ่งนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ชื่อนายชอง บวสเซอลิเย่ (Dr.Jean Boisselier) พร้อมนักโบราณคดีจากกรมศิลปากรมาสำรวจพื้นที่จังหวัดอ่างทอง พบร่องรอยคูเมืองที่มีร่องน้ำโอบล้อมรอบเมืองตามรูปแบบคูน้ำคันดินชวากทะเล คูเมืองที่สำรวจพบ คือ บ้านคูเมือง ตำบลหัวไผ่ อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง
ในปัจจุบันอ่างทองเดิมชื่อ เมืองวิเศษชัยชาญ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน้อยบนพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยาในการสู้รบกับกองทัพพม่า ดังปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาหลายตอนโดยเฉพาะในช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าได้ใช้แขวงเมืองวิเศษชัยชาญเป็นที่ตั้งค่ายเพื่อตีกรุงศรีอยุธยาและทำให้เกิดการสู้รบครั้งสำคัญที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยนั่นคือ ศึกบางระจัน ปลายสมัยกรุงธนบุรีได้ย้ายที่ตั้งเมืองมาอยู่บริเวณฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ บ้านบางแก้ว เรียกชื่อใหม่ว่า “อ่างทอง” เนื่องจากเป็นที่ลุ่มและอู่ข้าวอู่น้ำอันเป็นเสมือนขุมทรัพย์ที่มีค่า
จังหวัดอ่างทองมีชื่อเสียงในเรื่องขอลิเก มาตั้งแต่อดีต มีศิลปินและดาราที่เกิดจากการแสดงลิเก ที่เป็นชาวจังหวัดอ่างทองอยู่จำนวนหลายคน ปัจจุบันการแสดงลิเกในจังหวัดอ่างทอง นั้นลดน้อยลงไป เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม อำเภอไชโย และเพื่อส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยงเชิง ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและ เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดอ่างทองต่อไป
ลิเกคณะนี้ใครๆก็รู้จักไปทั่วประเทศ เอ่ยชื่อนี้ใครก็ ร้องอ๋อ
จำรูญ ศิษย์คุณป. ชื่อจริงของ ของพระเอกลิเก หน้ามน ชื่อนายจำลอง คำมี เกิดวันที่ 11 มิถุนายน 2491 อายุ 72 ปี
มีบุตร สาว และบุตรชาย
ประวัติการแสดงลิเก ของพระเอกชื่อดัง ในอดีต จำรูญ ศิษย์คุณป. หัวหน้าคณะ รับบทบาทเป็นพระเอก
จรูญ ศิษย์คุณป. อดีต เขาเป็นนักแสดง ลิเกอยู่ในคณะ คณะลิเกของเขานั่นเองเขามีชื่อเสียงโด่งดังมาจากการเล่น ลูกคอเหมือนร้องกลอน ราชนิเกลิง เขามีบุตรชาย ชื่อ ต่อลาภ ศิษย์คุณป. รับบทเป็นพระเอกลิเกแทนคุณพ่อนั่นเอง และบุตรสาว คนเดียวคือ รุ้งจรัส บุตรจำรูญ รับบทเป็นนางเอกลิเกประจำคณะศิษย์คุณป. และเป็นรองหัวหน้าคณะลิเกของคุณพ่อนั่นเอง
แม่ยกลิเกไทยพระเอกดังที่เคยคุ้นจำรูญศิษย์คุณป. พร้อมสนับสนุนบุตรชายพระเอกต่อลาภ ศิษย์คุณป. สืบสานวัฒนธรรมลิเกไทยต่อจากคุณพ่อ
สำหรับประวัติจำรูญ ศิษย์คุณป. ก่อนจะได้รับฉายานาม “สิ่งร้ายภูธร” ลิเกสมองเพชรกลอนสดๆ จำรูญศิษย์คุณป. เคยไปทำการแสดงหน้าพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่ท้องสนามหลวง เป็นลิเกบ้านนอกคณะเดียว ที่ไปทำการแสดง ในกรุงเทพฯจึงได้รับโล่พระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในยุคนั้นโด่งดังสืบต่อมา
เขามีทายาทที่จะสืบสานลิเกไทยนั่นคือพระเอกต่อลาถ ศิษย์คุณป. นางเอกลิเก รุ้งจรัส บุตรจำรูญ แฟนลิเกได้ฟังเสียงแล้วชื่นชอบนึกถึงคุณพ่อพร้อมให้การสนับสนุน ต่อลาภ ศิษย์คุณป. ให้เป็นลิเก สืบพ่อต่อไป และสืบสานวัฒนธรรม การแสดง
นาฏกรรมพื้นถิ่นไทย
ในคณะที่ นายวรพล คำมี
(หรือพระเอกต่อลาภ ศิษย์คุณป.)เจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ว่าเจ้าตัวเองยังไม่คิดว่าจะดำนินการชีวิตไปทางใหนแน่ๆ หลังจากสิ้นคุณพ่อพระอกนักบุญจำรูญ ศิษคุณป. แต่ในคณะเดียวกันแฟนๆลิเกคุณพ่อพร้อมให้กำลังใจแรงเชียร์สืบต่อไป
ใครสนใจหรือชมวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้าน ลิเกไทย สืบ ต่อไป ไม่ถือจาง จางหายไปจากสังคมไทย อีกต่อไป การแสดงงานพิธีต่างๆติดต่อ คณะลิเก จำรูญ ศิษย์คุณป. ไปที่หมู่ที่.4 ตำบลบ้านอิฐ(ทางหลวงเลข.334) อำเภอเมืองอ่านทอง จังหวัดอ่างทอง ข้างโรงเรียน ธรรมโรจน์ ท่านจะไม่ผิดหวัง การแสดงขั้นเทพทั้งพระเอกและนางเอก การแสดง พบเครื่อง แสงสีเสียง วงปี่พาทย์วงใหญ่ เวที 2 ชั้น อยากให้ทุกท่านสนับสนุนการแสดง วัฒนธรรมพื้นบ้านลิเกไทย ให้ทรงอยู่ในเมืองไทยต่อไป ไม่ให้จางหาย ในความทรงจำของคนไทย
เชื่อคนไทยจะไม่ทิ้งกัน เชื่อ คนไทยจะสนับสนุนการแสดง วัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้านลิเกไทย ให้สืบทอดถึงทั่วลูกทั่วหลาน ว่ามีลิเกไทย ในเมืองไทย ยังอยู่กับท่านตลอดไป
ใจรัก วงศ์ใหญ่
สนอง แท่นสูงเนิน
ศูนย์ข่าว หนังสือพิมพ์ 5 เหล่าทัพ
จังหวัดลพบุรี