24 ม.ค.60 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กำชับว่า โครงการโรงไฟฟ้าเทพา กับโรงไฟฟ้ากระบี่ ต้องมีความชัดเจนภายใน 1 เดือนนี้ โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณาเดินหน้าโครงการดังกล่าว ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุม ครม.พิจารณา
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า นายกฯ ได้กำชับว่าปัจจุบันสถานการณ์และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่มีข้อกังวลกันในอดีตสามารถแก้ไขได้ รวมถึงการสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานในภาคใต้มีความจำเป็นในทุกๆ ด้าน เช่น พลังงานชีวมวล ลม แสงแดด น้ำมัน ก๊าซ หรือถ่านหิน ดังนั้น จะต้องมีการกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือพีดีพี ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการใช้พลังงานไม่ควรพึ่งพาพลังงานก๊าซในสัดส่วนที่มากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน หรือกลุ่มสิทธิมนุษยชน มีความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภาครัฐ จึงได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงเช่นกันว่าประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ต้องการเห็นการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ทั้งการใช้พลังงานภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรมในด้านภาคการผลิตและการบริการ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงไม่สามารถที่จะจำกัดการใช้พลังงานได้ จำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อรักษาเสถียรภาพและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ดังนั้น โครงการนี้จะต้องมีการเดินหน้า
ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.เห็นชอบโครงการปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้าภาคใต้ตอนล่างวงเงิน 3.54 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การจัดทำสายส่งขนาด 500 เควี ใน จ.ชุมพร จ.ระนอง จ.สุราษฎร์ธานี จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต ระหว่างปี 2559 – 2563 และ ระยะที่ 2 การจัดทำสายส่งขนาด 500 เควี ใน จ.สงขลา และ จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ในที่ประชุม ครม.ตั้งข้อสังเกตว่าโครงการสายส่งไฟฟ้าระยะที่ 2 ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากโรงไฟฟ้าเทพา และโรงไฟฟ้ากระบี่ไม่เกิดขึ้น เพราะเดิมขนาดสายส่งในภาคใต้ ประมาณ 115 – 230 เควี ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหากระแสไฟฟ้าดับ จึงจำเป็นต้องเพิ่มขนาดความจุของขนาดสายส่ง แต่หากไม่มีโรงไฟฟ้าเทพาและโรงไฟฟ้ากระบี่ ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการปรับปรุงระบบสายส่งในระยะที่ 2 แต่อย่างใด