เอพี สื่อชื่อดัง รายงานว่า เควิน แม็คอลีแนน รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรและป้องกันพรมแดน หรือ (ซีบีพี) อนุญาตให้ผู้ลี้ภัย 872 ราย เดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ หลังผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าวอยู่ระหว่างการเดินทาง โดยไม่สามารถระงับการเดินทางอย่างกะทันหันได้ เนื่องจากเกรงว่าอาจจะทำให้สถานการณ์บานปลาย
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวของ แม็คอลีแนน เกิดขึ้นหลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมาว่า ให้ระงับโครงการอนุมัติตั้งถิ่นฐานถาวรของผู้ลี้ภัย จากทุกสัญชาติเป็นเวลา 120 วัน และปฏิเสธการเข้าเมืองของผู้ลี้ภัยชาวซีเรียอย่างไม่มีกำหนด รวมถึงระงับการออกวีซ่าเป็นเวลา 90 วันให้แก่พลเมืองจาก 7 ประเทศ ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ได้แก่ ซีเรีย, อิรัก, อิหร่าน, ลิเบีย, เยเมน, ซูดาน และโซมาเลีย ขณะที่ พล.อ.จอห์น เคลลีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (ดีเอชเอส) กล่าวว่า อาจมีการขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการออกวีซ่า สำหรับพลเมืองจาก 7 ประเทศ ในรายชื่อปัจจุบัน เนื่องจากกลุ่มประเทศเหล่านี้ เข้าข่ายกลายสถานะเป็นรัฐล้มเหลว ซึ่งจะสร้างความยากลำบากให้แก่เจ้าหน้าที่ในการพิสูจน์สัญชาติ และอาจมีการเพิ่มประเทศอื่นเข้าไปอีกด้วย โดยยืนยันว่า ผู้ได้รับผลกระทบมีเพียงส่วนน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนพลเมืองมุสลิมทั้งโลกที่มีอยู่ราว 1,700 ล้านคน
ทั้งนี้ คำแถลงการณ์ดังกล่าวของ เคลลีย์ ถือเป็นการปฏิเสธข้อเรียกร้องของ อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งต้องการให้รับบาลวอชิงตัน ยกเลิกมาตรการควบคุมพรมแดนในลักษณะนี้โดยเร็วที่สุด และเตือนว่า การจำกัดวีซ่าด้วยการระบุประเทศอย่างเจาะจง ไม่อาจยับยั้งความพยายามลักลอบเข้าสู่สหรัฐฯ ของกลุ่มก่อการร้ายได้