/////////////////////
มีคำหนึ่ง ที่โด่งในอดีตที่มีสโลแกน “โตไปไม่โกง” คำนี้มาใช้ได้จนถึงปัจจุบัน
เราได้ยินคำนี้กันบ่อยใช่ไหมล่ะครับ ทั้งในสื่อออนไลน์และสื่อออฟไลน์ มันเป็นหนึ่งในวลีที่แสดงว่าสังคมไทยพยายามอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริตให้คนรุ่นใหม่ตั้งแต่เด็กๆ ให้พวกเขารู้จักผิดชอบชั่วดี ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง ซึ่งมันไม่ใช่แค่การโปรโมทชั่วครั้งชั่วคราวหรือเป็นคำพูดสวยหรูนะครับ แต่ “โตไปไม่โกง” ถูกจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน สถาบันการศึกษา ตลอดถึงมหาวิทยาลัย
แต่ละโรงเรียนสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย
ไปแล้ว
แต่เคยสังเกตกันบ้างไหมว่า ทำไมสถานที่ที่ปลูกฝังและพร่ำสอนให้เด็กๆ “โตไปไม่โกง” อย่างโรงเรียน สถาบันการศึกษา ตลอดถึงมหาวิทยาลัย
นั้นๆ ในเมืองสาระขัน ในเมืองแห่งนี้
แต่เคยสังเกตกันบ้างไหมว่า ทำไมสถานที่ที่ปลูกฝังและพร่ำสอนให้เด็กๆ “โตไปไม่โกง” อย่างโรงเรียนนั้น กลับยังมีข่าวเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะเพื่อแลกกับการรับเด็กเข้าโรงเรียน สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย
อยู่ทุกปี และเป็นแบบนี้มาตลอดหลายสิบปี จนบางคนเริ่มสงสัยแล้วว่าการจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะเพื่อแลกกับการเข้าเรียน
มันสามารถทำได้โดยชอบธรรมหรือกลายเป็นพฤติกรรมปกติไปแล้วรึเปล่า ?
แป๊ะเจี๊ย ,สินบน ,เงินบริจาค ,ค่าน้ำชา ,เงินใต้โต๊ะ ,เงินบำรุงการศึกษา หรือคำอื่นๆ มากมายสุดสวยงามที่รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้คำจำกัดความของสิ่งที่เรียก ดูสั้น กระชับและได้ใจความมากกว่าคำว่าการ “คอรัปชั่น” สิ่งที่ผู้ใหญ่สอนตลอดมาว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่ถูกต้อง แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็กลับทำซะเอง แล้วแบบนี้จะให้เด็กเชื่อได้อย่างไร เมื่อมันเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวเขาไปตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าไปในโรงเรียน สถาบันการศึกษา ตลอดถึงมหาวิทยาลัย
ในมุมหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าไม่มีคนให้ ก็ไม่มีคนรับ เมื่อพ่อแม่ก็คาดหวังให้ลูกได้เรียนในโรงเรียน สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย
ที่ดีและมีชื่อเสียงในเมืองสาระขัน
ทั้งที่ความจริงแล้วระบบการศึกษาไทยยังมีทางเลือกอีกมากมาย และอีกหลายโรงเรียน สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย
ก็พร้อมเปิดประตูต้อนรับ หากแต่มันไม่ได้มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับโรงเรียนสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย
ที่พ่อแม่ผู้ปกครอง “เชื่อ” ว่าดีแค่นั้นเอง
ความคิดที่ว่าโรงเรียน สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย
ชื่อดังจะสอนลูกได้ดีกว่าโรงเรียนสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย
ที่ไม่ดัง ความคิดเหล่านี้อยู่กับคนไทยมานานและอาจจะคงอยู่ตลอดไปเลยด้วยซ้ำ ทำให้เกิดประเด็นที่พ่อแม่บางคนยินยอมและเต็มใจที่จะจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อให้ลูกได้มีโอกาสทางการศึกษาและจริยธรรมที่ดี แต่เดี๋ยวก่อนครับพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลาย ท่านจะคาดหวังให้ลูกเป็นคนดีได้จากการเรียนอยู่ในโรงเรียนที่ยังรับเงินใต้โต๊ะได้จริงเหรอ มันดูย้อนแย้งในความรู้สึกบ้างไหม ?
ไม่ต้องไปยกตัวอย่างที่ไหนไกลหรอกครับ ผมก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่สอบไม่ติดโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใน เมืองสาระขัน แห่งนี้
พ่อแม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อพาผมเข้าไปในโรงเรียนที่เขาคิดว่าดี เป็นเงินกว่าหมื่นกว่าบาทที่ต้องเสียไปโดยที่ผมไม่รู้ประสาอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเสียอะไรไปเท่าไหร่เพื่อแลกกับการที่ผมจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนั้น กว่าผมจะมารู้ตัวก็ตอนมหาวิทยาลัยที่พ่อแม่เอามาเล่าให้ฟัง พ่อเล่าว่าตัวเขาไม่ได้มีโอกาสติดต่อกับผู้จัดการโดยตรงแต่คนที่ดูแลเรื่องน่าจะเป็นเลขาฯ หน้าห้องเสียมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามก้อนเงินนั้นก็ถูกระบุว่าเป็นเงินบริจาคด้วยความสมัครใจ
ขอย้อนไปเมื่อ
ปี พ.ศ.2558 มีตัวเลขระบุว่าโรงเรียนกว่าร้อยแห่งกระทำผิดกฎหมาย ด้วยการเรียกเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะ จนทำให้ปีนั้นมีเงินแป๊ะเจี๊ยะสะพัดถึงกว่า 30,000 ล้านบาท (จากการวิจัยของสถาบันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม) ซึ่งทางโรงเรียนอ้างว่ามันคือค่าบำรุงการศึกษาและพัฒนาโรงเรียน เพราะงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนั้นไม่เพียงต่อการอยู่รอด หรือพัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้น
คำถามคือ ถ้ารัฐบาลสนับสนุนเงินเพิ่มเติมกว่า 3 หมื่นล้านบาทนี้ให้กับโรงเรียนต่างๆ ได้ คุณคิดว่าการเรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ยะจะหมดไปจากสังคมไทยหรือไม่ ?
เป็นคำถามที่คงไม่มีใครตอบได้..
การให้โอกาสทางการศึกษา กับการแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจ เป็น 2 สิ่งที่มีเส้นบางๆ กั้นไว้ พร้อมจะข้ามเส้นไปมาได้ตลอดเวลา แน่นอนว่าการบริหารโรงเรียนก็เหมือนการบริหารธุรกิจอย่างหนึ่งที่ต้องมีกำไร มีเงินเพื่อจะพัฒนาทั้งบุคลากร อาจารย์ นักเรียน สถานที่ สื่อการเรียนการสอน แต่ยังมีวิธีการอื่นๆ อีกไหม ที่จะสามารถพัฒนาได้ด้วยเงินที่ได้มาอย่างสุจริตและตรวจสอบได้
ย้อนกลับไปที่เมืองสาระขัน เมืองแห่งนี้ เกิดอะไรขึ้น สดๆร้อนๆ
ที่เมืองสาระขัน
หลังจากผ่านเทศกาลปีใหม่ไทย หรือเทศกาล สงกรานต์ หลาย ๆ ท่านก็ มีโอกาส ได้ไป รดน้ำขอพร ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ตลอดจน ได้สาดน้ำสงกรานต์คลายร้อน กันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในท่ามกลางฤดูร้อน ก็ยังมีข่าวร้อนๆ ดังขึ้นมาหลายหลายเรื่อง มีเรื่องร้อนไม่แพ้กันกับเรื่องแผ่นดินไหว ที่ผ่าน มาก็ยังมีเรื่องอุบัติเหตุ รถยนต์เฉี่ยวชนกัน บนถนนมอเตอร์เวย์ของบุตรชาย อดีตนายกเล็ก สถานที่แห่งหนึ่ง กับคุณลุง-คุณป้า ดังข่าวที่ฟีดขึ้น ตามสื่อต่างๆ
แต่ก็ยังมีเรื่อง 1 ในเมืองสารขันธ์ เป็นที่โจทย์จาน เกี่ยวกับสถานศึกษาๆ ใจกลางเมือง ของเมืองนี้ ที่มีเรื่องเล่าขานกันมานมนาน มีคณะกรรมการชุดหนึ่ง อยู่มานาน ไม่ขยับขยายออก ให้คน ใหม่ๆ ได้เข้ามาทำหน้าที่ต่อ
หากจะเปลี่ยนน้ำเก่า ต้อง นำ น้ำใหม่เข้ามา
ก็เลยต้องหา หนทาง
ให้คนใหม่ เข้ามาแทน
โดยใช้
ช่องทาง ของระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ
ผลักและดัน ให้คนเก่า ออกไป เพื่อที่คนใหม่
จะได้เข้ามาแทนที่ ตำแหน่ง ของคนเก่า
จึงมีเรื่อง ที่จะเล่า
ในเมืองนี้ว่า ขออย่าให้เป็นแบบ
หนีเสือ ปะ จระเข้เลย ซึ่งตรงนี้
ผู้ปกครองหลายๆคน
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว
ก็คงจะพอจับใจความได้
ในเมืองสารขันธ์ แห่งนี้ จะรู้กันว่า การที่จะส่งบุตรหลาน ได้เข้าศึกษาต่อ จะต้องมีการเสียค่าบำรุง(เงินสนับสนุน)
ซึ่งอาจทำให้เด็กดีๆ มีความรู้ ความสามารถ
แต่ ผู้ปกครอง อาจจะไม่มี
ทุนทรัพย์ ที่เพียงพอ
และใน เศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งการทำมา หากิน ก็ลำบาก ฝืดเคือง อาจจะต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา เพื่อที่จะให้บุตรหลาน ได้มีโอกาสได้ศึกษาต่อ ในสถานศึกษา ที่เมืองสารขันธ์ แห่งนี้
หลาย ๆ คนต้องเสียโอกาส เริ่มต้นของการศึกษา
ถ้าหากมีต้นทุนที่สูง
ต้องลงทุน
ด้วยเงิน
ต่อไปสังคม ของเด็กๆเหล่านั้น จะเป็นไปอย่างไร การที่มีการเรียก ค่าบำรุงๆ
เกินไป ซึ่งส่งผล ทำให้เสียหาย ต่อองค์กรคณะผู้บริหาร ที่สะสมชื่อเสียงมา แต่ช้านาน ตลอดจน นำพา อนาคตของชาติ ไปสู่ความเห็นแก่ตัว มองว่าเงินเป็นใหญ่ ก็จะเป็น ตราบาปที่ติดในใจของเด็ก ตลอดไป
ก็อยากจะฝาก ผู้หลักผู้ใหญ่
ในการสรรหาผู้นำ ที่จะเข้ามาแทนคนเก่านั้น
ต้องมีความพร้อม ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะความรู้ใน
การบริหารงานในด้านการศึกษา ไม่ใช่คิดว่าตัวเองมีฐานะ เพียงอย่างเดียว ยังต้องมี จริยธรรมคุณธรรม
อีกด้วย เพราะถ้ากล้าที่จะใช้เงินของตัวเอง เพื่อมาพัฒนาการศึกษาในองค์กร ก็ไม่เป็นไร
ซึ่งในสมัยก่อนจะเป็นแบบนี้
ไม่ต้องทำให้คนอื่นๆเดือดร้อน
ไม่ใช่เรียกเอาเงินของคนอื่น ๆ แล้วมาแล้ว
ใช้ชื่อว่า เป็นผลงานของตัวเอง
ขอฝากเอาไว้ เพื่อได้สรรหา เน้นคนที่ มีความรู้- ความสามารถ
ในการบริหาร ด้านศึกษาๆ ในมิติต่าง พร้อมทั้งคุณธรรม-จริยธรรม เพื่อจะได้ไม่มี เสียงครหา
หรือถ้าจะมี ก็ขอให้ เป็นเสียงที่ น้อยนิด
เพื่อที่ ผู้บริหาร
หลายๆ ท่าน ไม่ต้องมา
ปวดเศียร-เวียนเกล้า
ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ของเมืองสารขันธ์ แห่งนี้
จะมีใครเป็นฮีโร่มาแก้ปัญหาให้กับเมืองแห่งนี้ได้บ้าง
ทุจริต กับ สุจริต อาจเป็น 2 คำที่เขียนคล้ายกันแต่ให้ความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องช่วยกันลบคำว่าทุจริตออกไป และทำให้ทุกคนรู้จักแต่คำว่า “ซื่อสัตย์ สุจริต”
นันท์นภัส วงศ์ใหญ่
ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวภาคกลางหนังสือพิมพ์ 5 เหล่าทัพ







