ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา นำข้าราชการตุลาการศาลจังหวัดพัทยาและศาลแขวงพัทยา พร้อมด้วย ข้าราชการอัยการ สำนักงานอัยการ ภาค2 , สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา,สำนักงานคดีศาลสูง ภาค2 , ข้าราชการตำรวจ , ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ,นักกฎหมาย และเมืองพัทยา ร่วมพิธีน้อมรำลึกวางพวงมาลา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” เนื่องใน “วันรพี” ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2568
พิธีเริ่มขึ้นในเวลา 06.55 น. ณ ห้องประชุมชั้น3 ศาลจังหวัดพัทยา ถนนทัพพระยา ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมี นายผาสุก เจริญเกียรติ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พระภิกษุสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ ต่อจากนั้นประธานในพิธีนำผู้ร่วมงาน ถวายภัตตาหาร และเครื่องจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ พร้อมกรวดน้ำรับพร เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีสงฆ์
ต่อมา ในเวลา 08.00 น.นายผาสุก เจริญเกียรติ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา นำข้าราชการตุลาการและผู้ร่วมงาน ประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะแด่ “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์” ณ บริเวณลานด้านหน้าพระอนุสาวรีย์ฯ ในการนี้ นายผาสุก เจริญเกียรติ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา เป็นผู้ถวายมาลัยข้อพระกร และวางพวงมาลา พร้อมกล่าวคำเทิดพระเกียรติฯ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรส พระองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ ณ วันพุธ ขึ้น 11 ค่ำ ปีจอ ฉศก จุลศักราช 1236 ตรงกับวาระทางสุริยคติ 21 ตุลาคม พุทธศักราช 2417
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชบิดา ทรงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะส่งพระราชโอรสทุกพระองค์ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมาย ก็เนื่องจากช่วงเวลานั้น เมืองไทยมีศาลกงสุลฝรั่ง ชาวยุโรปและอเมริกันมีอำนาจในประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งยากแก่การปกครอง จึงมีพระทัยตั้งมั่นที่จะพยายามขอยกเลิกอำนาจศาลกงสุลต่าง ๆ ที่มาตั้งพิจารณาพิพากษาคดีชนชาติของตนเสีย เพื่อที่ประเทศไทยของเรา จะได้มีเอกราชทางการศาลอย่างแท้จริง
พระองค์ท่านจึงทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมาย เพื่อจะได้กลับมาพัฒนากฎหมายบ้านเมือง กับพัฒนาผู้พิพากษา และราชการศาลยุติธรรมให้ดีขึ้น และที่สำคัญเพื่อให้ต่างชาติ ยอมรับนับถือกฎหมายไทย และยอมอยู่ภายใต้อำนาจศาลไทย พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงมีพระสติปัญญาฉลาดเฉลียวเป็นอย่างยิ่ง ในต้นปี 2434 พระองค์ทรงสามารถสอบผ่านเข้าศึกษา วิชากฎหมายที่วิทยาลัยไครสต์เชิร์ช มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Christchurch College Oxford University) ขณะที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุเพียง 17 พรรษา
หลังสอบผ่าน มหาวิทยาลัยไม่ยอมรับเข้าศึกษา โดยอ้างว่าพระชนมายุยังไม่ถึง 18 พรรษา ตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย พระองค์จึงต้องเสด็จไปขอความกรุณา โดยพระองค์ดำรัสว่า "คนไทยเกิดง่ายตายเร็ว"ทางมหาวิทยาลัยจึงยอมผ่อนผัน โดยให้ทรงสอบไล่อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ก็ทรงสอบได้อีก และด้วยความที่พระองค์ทรงพระวิริยอุตสาหะเอาพระทัยใส่ในการเรียนเป็นอย่างมาก ทรงสอบไล่ผ่านทุกวิชาและได้รับปริญญาเกียรตินิยมทางกฎหมาย Bachelor of Arts.Hons (B.A. (Oxon)) เมื่อพระชนมายุ 20 พรรษา โดยใช้เวลาศึกษาเพียง 3 ปี
ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว พระองค์ก็ทรงตั้งพระทัยว่า จะทรงเรียนเนติบัณฑิตอังกฤษ (Barrister at law) ที่กรุงลอนดอน แล้วจะเสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จกลับมารับราชการ ที่ประเทศไทยเสียก่อน
ในปีพุทธศักราช 2437 เมื่อพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เสด็จกลับมาพระองค์ ทรงรับตำแหน่งเป็นอธิบดีผู้จัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เพื่อสอนความรู้เบื้องต้นสำหรับผู้เข้ารับราชการพลเรือนในกระทรวงต่าง ๆ และต่อมาพระองค์ทรงสมัครรับราชการทางฝ่ายตุลาการ แล้วทรงฝึกหัดราชการในกรมราชเลขานุการ และทรงศึกษากฎหมายไทย อย่างจริงจัง
ด้วยพระปรีชาสามารถและพระอุตสาหะ ไม่นานพระองค์สามารถทำงานในกรมราชเลขานุการได้ทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะการร่างพระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นองคมนตรีในปีเดียวกันนั้น
ต่อมาในปี 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เป็นสภานายกพิเศษจัดการตั้งศาล ในมณฑลอยุธยา พระองค์ทรงทำการในหน้าที่ด้วยพระปรีชาสามารถ เป็นที่นิยมยินดีของหมู่ชนในมณฑลนั้น ในปีถัดมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เป็นประธานพร้อมด้วยกรรมการไทยและฝรั่ง ช่วยกันตรวจชำระพระราชกำหนดบทพระอัยการเก่าใหม่ และปรึกษาลักษณะการที่จะจัดระเบียบแล้วเรียบเรียงกฎหมายขึ้นใหม่เพื่อเป็นบรรทัดฐาน และในปีเดียวกันนั้นก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม และคงอยู่ในตำแหน่ง สภานายกพิเศษจัดการ ศาลตามเดิมด้วย
ในการปรับปรุงกฎหมาย เบื้องต้นมีการนำกฎหมายอังกฤษมาใช้ โดยใช้กฎหมายวิธีสบัญญัติก่อน ทีแรกมีข้อถกเถียงกันว่าจะใช้ระบบกฎหมาย แบบอังกฤษ หรือจะใช้ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ แบบประเทศยุโรปแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดสินพระราชหฤทัย ปฏิรูประบบกฎหมายไทย ให้เป็นไปตามแบบประเทศภาคพื้นยุโรป คือ ใช้ระบบ "ประมวลธรรม" แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังนำแนวคิดหลักกฎหมาย อังกฤษบางเรื่องมาใช้ด้วย
ประมวลกฎหมายของไทยฉบับแรก คือ ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ใช้เวลาร่างทั้งสิ้น 11 ปี โดยสำเร็จลงในปี 2451 พระองค์เจ้ารพีฯ ทรงช่วยแปลต้นร่างที่เขียน เป็นภาษาฝรั่งเศส และอังกฤษมาเป็นภาษาไทย ส่วนประมวลกฎหมายฉบับต่อๆมา ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง วิธีพิจารณาความอาญา และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพต่าง ๆ พระองค์ก็ทรงมีบทบาทสำคัญในการยกร่างด้วย
ในปีเดียวกันนี้ พระองค์เจ้ารพีฯ มีพระดำริว่า "การที่จะยังราชการศาลยุติธรรมให้เป็นไปด้วยดีนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีผู้รู้กฎหมายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยการเปิดให้มีการสอนกฎหมายขึ้นเป็นที่แพร่หลาย" จึงทรงสถาปนาโรงเรียนสอนกฎหมายขึ้น สังกัดกระทรวงการยุติธรรม เพื่อให้โอกาสแก่ประชาชนทั้งหลายมีโอกาสรับการศึกษากฎหมาย และพระองค์ทรงแนะนำสั่งสอนด้วยพระองค์เองด้วย
ปลายปีพุทธศักราช 2440 พระองค์ทรงเปิดให้มีการสอบไล่เนติบัณฑิต โดยใช้ศาลาการเปรียญใหญ่ วัดมหาธาตุ เป็นสถานที่สอบ ใช้เวลาสอบ 6 วัน วันละ 4 ชั่วโมง ให้คะแนนเป็นเกรด ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตรุ่นแรกมีทั้งสิ้น 9 คน ผู้สอบได้ลำดับที่ 1 คือ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเนติบัณฑิตไทยคนแรก
ปี 2441 พระองค์เจ้ารพีฯ ทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกา ในคณะกรรมการ มีชื่อว่า "ศาลกรรมการฎีกา" ทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุด ของประเทศ แต่ไม่สังกัดกระทรวงยุติธรรม และต่อมาได้กลายมาเป็น ศาลฎีกาในปัจจุบัน ในปี 2442 พระองค์เจ้ารพีฯ ได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏเป็น "กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์"
ต่อมา ทรงดำริจัดตั้งกองพิมพ์ลายมือขึ้น ทรงสอนวิธีตรวจเส้นลายมือ และวิธีเก็บพิมพ์ลายมือ สำหรับตรวจพิมพ์ผู้ต้องหาในคดีอาญา เพื่อใช้เป็นหลักฐานเพิ่มโทษผู้กระทำความผิดหลายครั้ง ปี 2453 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรี
ในปี 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ และในปีเดียวกัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นกรมหลวง มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์คชนาม"
พระองค์เจ้ารพีฯ ทรงประชวรด้วยพระวัณโรค ที่พระวักกะ (ไต) และได้ขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาพักราชการรักษาพระองค์ และได้เสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แพทย์ได้จัดการรักษาและถวายพระโอสถอย่างเต็มความสามารถ แต่พระอาการหาทุเลาลงไม่ จนกระทั่งวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2463 พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ก็สิ้นพระชนม์ สิริพระชนมายุ 47 พรรษา
วงการนักกฎหมาย ได้ถือเอาวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์ เป็นวันรำลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่าน ที่มีต่อวงการกฎหมายไทย โดยใช้ชื่อว่า “วันรพี” เพื่อน้อมรำลึกถึง พระกรุณาธิคุณของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ผู้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นนักนิติศาสตร์ และทรงวางระบบแบบแผน ศาลยุติธรรม รวมถึงทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย อันเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งแก่ประเทศชาติ
โยธิน พรมแตง รายงาน


























