คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดยพลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วยที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ นักวิชาการประจำ เลขานุการประจำ อนุกรรมาธิการ ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อหารือข้อราชการ ณ กองบัญชาการกองทัพไทย เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดยพลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ นายสมบูรณ์ หนูนวล รองประธาน คนที่หนึ่ง ร้อยตำรวจเอก ฉลอง ทองนะ รองประธาน คนที่สอง ผู้ช่วยศาสตราจารย์นิฟาริด ระเด่นอาหมัด รองประธาน คนที่สาม พลโท สุกิจ ทั่งทอง ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ และนายธณัชญ์พงศ์ วงศ์มุลาลี กรรมาธิการ พร้อมด้วยที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ นักวิชาการประจำ เลขานุการประจำ อนุกรรมาธิการ ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อหารือข้อราชการ ณ กองบัญชาการกองทัพไทย เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
ในการนี้ พลเอก อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และคณะผู้บัญชาการกองทัพไทย ได้ให้การต้อนรับพลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ และคณะเดินทาง ซึ่งพลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ได้สะท้อนหลักและแนวทางการพัฒนากองทัพไทย ได้แก่ เพื่อราชอาณาจักรไทย ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชั้นยศคือคนสำคัญ สู่กองทัพปฏิบัติการร่วมที่ทันสมัย บรรลุทุกภารกิจและความท้าทาย กล่าวคือ “One Team ทัพไทย” โดยกองทัพไทยจะมุ่งเน้นและเดินหน้ายุทธศาสตร์ “RTARF 2050” สำหรับการมุ่งหน้าสู่กองทัพที่ทันสมัย อาทิ การพัฒนาระบบอาวุธยิงระยะไกลความแม่นยำสูง การจัดตั้งศูนย์บูรณาการข่าวกรอง และหน่วยปฏิบัติการไซเบอร์ รวมถึงความเข้มข้นในการยระดับการบูรณาการกำลังรักษาความมั่นคงชายแดนที่ร่วมมือตำรวจปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติเชิงรุกเพื่อให้กองทัพปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในบริเวณพื้นที่ชายแดนที่มีความขัดแย้งและมีความเสี่ยงสูงในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยที่คณะกรรมาธิการได้รับฟังการบรรยาย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับการสอบถามในประเด็น อาทิเช่น 1. การกำหนด “บทบาทเชิงยุทธศาสตร์” และ “ภารกิจหลัก–ภารกิจสนับสนุน” ของกองทัพไทยเพื่อให้สอดคล้องกับภัยคุกคามในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีความสลับซับซ้อนและสามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว เช่น สงครามลูกผสม (Hybrid Warfare) นิติสงคราม (Lawfare) ฯลฯ รวมทั้งผลจากภูมิรัฐศาสตร์โลก 2. การกำหนดแนวทางบูรณาการการปฏิบัติร่วมระหว่างเหล่าทัพในภารกิจป้องกันประเทศเพื่อให้เกิดเอกภาพการบังคับบัญชาและการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในภารกิจช่วยเหลือประชาชน เช่น ภัยพิบัติขนาดใหญ่ 3. การพัฒนาขีดความสามารถด้าน “การบัญชาการร่วม” (Joint Command Capability) โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและการข่าว และแนวทางการพัฒนา “ศูนย์บัญชาการร่วมระดับชาติ” (National Joint Command Center) เพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤตด้านความมั่นคงและภัยพิบัติขนาดใหญ่ 4. การปฏิบัติของศูนย์บัญชาการทางทหารต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่ง บก.ทท. ประเมินความพร้อมรบของกองทัพไทยในการเผชิญสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา หากเกิดสถานการณ์สู้รบครั้งต่อไปอยู่ในระดับใดบทเรียนจากการรบในเหตุการณ์ไทย – กัมพูชา ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งกองทัพไทยควรปรับปรุงหลักนิยมทางยุทธวิธีของการใช้กำลังทางบก ทางเรือ และทางอากาศ 6. ความคืบหน้าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและฟื้นฟูพื้นที่เสี่ยงบริเวณแนวชายแดนไทย – กัมพูชาของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ รวมถึงแนวทางบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐ หรือองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNDP หรือ ICRC สนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและฟื้นฟูพื้นที่อย่างยั่งยืน ตลอดจนการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการตรวจค้นและเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้วย เป็นต้น
ในการหารือข้อราชการร่วมกับพลเอก อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และคณะผู้บัญชาการกองทัพไทยในครั้งนี้ ทำให้คณะกรรมาธิการได้รับทราบและรับฟังข้อมูลการดำเนินงานหรือการพัฒนากองทัพไทยตามบทบาทและภารกิจของกองบัญชาการกองทัพไทย รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงอันมีผลกระทบกับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะนำข้อมูลที่ได้รับมาใช้ประกอบการพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อกลั่นกรองและเสนอแนะส่งไปยังรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารเพื่อพิจารณาดำเนินการอันจะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของชาติและประชาชนต่อไป












