มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) “การพัฒนาที่ยั่งยืน” (SDGs) ถือเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการพัฒนาที่สำคัญระดับโลก ซึ่งปัจจุบันทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อคนรุ่นต่อไปในอนาคต โดยสถาบันการศึกษานอกจากจะเป็นภาคส่วนสำคัญในการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักในความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนแล้ว ยังสามารถสร้างรูปธรรมของการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้ อันเป็นที่มาของ “เครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Sustainable University Network of Thailand : SUN Thailand) ที่ต้องการให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่ความยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ในระดับอุดมศึกษา ที่เกี่ยวกับการดำเนินงานสู่ Net Zero Campus และการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ด้วยการบูรณาการองค์ความรู้กับบริบทพื้นที่
และในปีนี้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุม ประจำปีเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (SUN Thailand) สัญจร ครั้งที่ 3 ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 14-16 ธันวาคม 2568 ภายใต้แนวคิด “Crafting Sustainable Future Society by Residential College : สร้างสรรค์สังคมสู่วิถีความยั่งยืน ด้วยอาศรมแห่งการเรียนรู้” จัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) อ.จอมบึง จ.ราชบุรี โดยมี รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน รศ.ดร.ณัฐพงศ์ มกระธัช ประธานเครือข่าย SUN Thailand ประจำปี 2568 กล่าวรายงาน และได้รับเกียรติจากคุณฐิติลักษณ์ คำพา ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การพัฒนาเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน บนผืนผ้าแห่งความหลากหลายทางชาติพันธุ์” และการบรรยายพิเศษว่าด้วยการบริหารองค์กรภายใต้นโยบาย ESG ที่สอดรับกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่ กรณี บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด โดยคุณจตุพร โสภารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยมีผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยในเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทยกว่า 35 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศเข้าร่วม
รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. กล่าวว่า ในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ที่เป็นมหาวิทยาลัยหลักทั้งสี่กลุ่ม โดยเฉพาะที่อยู่ในเครือข่าย SUN Thailand จะต้องก้าวออกมาทำหน้าที่มากกว่าการสอนในห้องเรียน ทั้งการสร้างความตระหนัก และให้ความรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนให้กับคนรุ่นใหม่ การลดความเหลื่อมล้ำ และการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ตลอดชีวิตให้คนทุกช่วงวัย (Lifelong Learning) ตามพระราชบัญญัติอุดมศึกษาโดยเปิดโอกาสให้คนทุกช่วงวัยเข้าถึงการศึกษาและทักษะใหม่ๆ ได้ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของสถาบันและสนับสนุนการพัฒนา Soft Power ด้านการศึกษาของประเทศอีกด้วย
“ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยยังต้องเป็นตัวอย่างด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน และมีส่วนร่วมในการสนับสนุนนโยบายของประเทศเรื่อง SDG โดย มจธ. ได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน Carbon Neutrality ภายในปี 2040 และใช้ศักยภาพจากงานวิจัยกว่า 10 ปี ทั้งด้านการลดพลังงาน การออกแบบอาคาร การเรียนการสอนแบบไฮบริด ไปจนถึงการศึกษาการดูดซับคาร์บอนของป่าดิบแล้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่นำไปใช้อ้างอิงในเรื่องคาร์บอนเครดิตและการซื้อขายคาร์บอนได้จริงทั้งในระดับสถาบัน ภาคอุตสาหกรรม และภาคสังคม”
อธิการบดี มจธ. กล่าวอีกว่า “การที่องค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยในเครือข่าย SUN Thailand ได้ถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือภาคสังคมในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) และการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) อาทิ การลดการปลดปล่อยคาร์บอนและการประหยัดพลังงาน การวิจัยเพื่อสนับสนุนเรื่องคาร์บอนเครดิต ทำให้เครือข่ายมหาวิทยาลัย SUN Thailand ที่มีจำนวนเริ่มต้น 16 แห่ง ในปี 2558 เพิ่มเป็นกว่า 60 แห่งในปัจจุบัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อมหาวิทยาลัยร่วมมือกันอย่างจริงจัง จะไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของตนเองเท่านั้น แต่ยังสามารถยกระดับองค์ความรู้ สร้าง Soft Power ทางการศึกษา และเป็นพลังสำคัญในการพาประเทศไทยเดินไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม”
สำหรับงานประชุมประจำปีเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย (SUN Thailand) สัญจรครั้งที่ 3 นี้ นอกจากจะเป็นการประชุมคณะกรรมการเครือข่าย SUN Thailand ครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 แล้ว ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ การเสวนาในหัวข้อ “ทุกคนต้องได้เรียน (Zero dropout)” โดยอาจารย์และนักวิจัย มจธ. ที่ทำงานร่วมกับกองทุนเพื่อควสามเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และหน่วยงานอื่นๆ ในจังหวัดราชบุรี รวมถึงกิจกรรมเยี่ยมชมนิทรรศการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสู่ความยั่งยืนในหลายประเด็น ประกอบด้วย การเรียนรู้ที่ผสมผสานการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในชั้นเรียนและการใช้ชีวิตร่วมกัน เยี่ยมชมอุทยานการเรียนรู้เรื่องผึ้งและศูนย์วิจัยผึ้งพื้นเมืองและแมลงผสมเกสร (Bee Park) กิจกรรมปั่นจักรยานและเดินศึกษาธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพของป่าเต็งรัง (biodiversity) รวมถึงเยี่ยมชมการดำเนินงานการขับเคลื่อนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ณ ศูนย์การเรียนรู้เทคโนโลยีนวัตกรรมคาร์บอน และ เยี่ยมชมวิถีชุมชนและการขับเคลื่อนศิลปะและวัฒนธรรมชาติพันธุ์ไทยกะเหรี่ยง ชุมชนเครื่องเงิน ‘ตลาดน่าเอ๊’ ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจวัฒนธรรม อ.บ้านคา จ.ราชบุรี และเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด ได้แก่ เขากระโจม บ้านหอมเทียน พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (พระสี่มุมเมือง) และพิพิธภัณฑ์เรื่องของโอ่ง ซึ่งเป็นแหล่งสะท้อนอัตลักษณ์ของเมืองราชบุรีอย่างโดดเด่น
การประชุมครั้งนี้ตอกย้ำพลังความร่วมมือของมหาวิทยาลัยไทยในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การบูรณาการองค์ความรู้ และการขยายผลสู่ชุมชนในระดับพื้นที่ ทั้งยังสะท้อนบทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในการร่วมสร้างอนาคตสังคมยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

















