“ผู้นำ” มีส่วนสำคัญยิ่งในการแก้ปัญหาวิกฤติของชาติ ขณะเดียวกันประชาชนในชาตินั้นๆ จะต้องให้ความร่วมมือ
และรวมใจกับ“ผู้นำ” ของชาติตนเอง ในการแก้ปัญหา วิกฤติชาติ ปัญหาต่างๆ จึงจะลุล่วงผ่านไปได้
การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และสังคม ของหลายประเทศ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย
ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศอาร์เจนตินา ประเทศสหรัฐฯ หรือกลุ่มประเทศในยุโรป ล้วนมีสาเหตุ
มาจาก การใช้จ่ายเงินของประเทศอย่างฟุ่มเฟื่อย โดยไม่ ก่อให้เกิดการสร้างงาน หรือที่เราเรียกกันว่า
“โครงการประชานิยม” การเก็งกำไรในธุรกิจของทุนข้ามชาติ ขาดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง
และ เกิดการทุจริตคอรัปชั่น
ประเทศจีน ได้ก้าวผ่านการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และสังคมมาได้ก็เพราะ “ผู้นำของประเทศ” มีวิสัยทัศน ในการนำพาประเทศ
และประชาชนไปสู่ความอยู่ดีกินดี และ มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือผลิตภัณฑมวลรวม ในประเทศขยายตัว (GDP)
ขยายตัว ๙-๑0% ทั้งนี้ ก็เพราะ “ผู้นำจีน” กล้าตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega project)
หลายโครงการและต่อเนื่อง จึงเกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างผลผลิต ให้ประชาชน
โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ (Mega Project) ของจีนที่มีชื่อเสียงลือลั่นสนั่นโลก ก็คือ โครงการสร้าง “เขื่อนสามซองแคบ”
(Three Gorges Dam) ที่ตำบล “ชันโตงผิว” ตั้งอยูริมแมน้ำแยงซี โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ ต้องการควบคุมพลังงานนํ้า
อันมหาศาลในแม่นํ้าแยงชีให้ อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของมนุษย์ เพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวจีน ป้องกันไม่ให้
ประชาชนจีนถูกน้ำท่วมที่อยู่อาศัยและพืชไรจำนวนหลายล้านไร่
เขื่อน “สามซองแคบ” หรือ Three Gorges มีความยาว ๑๙๒ กิโลเมตร เป็นช่องทางที่นํ้าไหลผ่าน ชองแคบหรือคอคอด
ระหว่างผาหินปูนสูงชัน ๓ ระยะ เริ่ม ตั้งแต่เมือง “จุงกิง”ไปสิ้นสุดที่เมือง “เฉัง”ในมณฑล “หูฟ่ย” ซึ่งแม่นํ้าแยงชีมีความยาว
๖,๓oo กิโลเมตร
นอกจากการป้องกันนํ้าท่วมจากแม่นํ้าแยงชีแล้ว โครงการ “เขื่อนสามซองแคบ” ยังมีวัตถุประสงค์ เป็น โครงการชลประทาน
และโครงการไฟฟ้าจากพลังนํ้าที่ใหญ่ ที่สุดในโลก กล่าวคือ…
ตัวเขื่อนมีความสูง ๑๘๕ เมตร มีความยาว ๒,๓๐๙ เมตร และสามารถเป็นกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ ๘๕ พันล้าน
กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ในแตล่ะปึ งบประมาณที่จีนใช้ลงทุน ประมาณ ๑๑0 พันล้าน หยวน หรือ ๒๑.๖ พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
หรือประมาณ ๙๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้าง ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๓ หรือ พ.ศ. ๒๕๓๖ ในยุคที่
“เจียง เจ๋อ หมิน” (Jiang Zemin) ดำรงตำแหนงประธานาธิบดีจีน ใช้เวลาก่อสร้าง ๑๖ ปึ และกอสร้างแล้วเสร็จ ในปี
ค.ศ. ๒๐๐๙ หรือ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีการใช้แรงงานมากกว่า ๔ ล้านคน
อย่างไรก็ตาม โครงการสร้างเขื่อนยักษ “สาม ซองแคบ” ดังกล่าว เป็นวิสัยทัศน์ และการนำมาปฏิบัติ ต่อเนื่อง ตั้งแต่
การวางแผน การออกแบบ และกระบวนการ ก่อสร้าง โดย ประธานาธิบดี “เตั้ง เที่ยว ผิง” ซึ่งประชาชน ชาวจีนได้เชิดชู
บูชาว่า เขาคือผู้นำประเทศจีนที่ทรงบารมียิ่ง ส่งผลให้ประชาชนจีนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถ ประกอบอาชีพ
การเกษตร การประมง และการคมนาคม ได้ตลอดปี
จากการยกตัวอยางโครงการ “เขื่อนสามซองแคบ” ของประเทศจีน และการตัดสินใจกอสร้างเขื่อนดังกลาวของ
“ผู้นำจีน” สำเร็จลุลวง ยังผลประโยชน์ต่อประชาชนจีน ก็เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่ประเทศไทยเรา ที่จะกอบกู้วิกฤติ
เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำลังถูกรุมล้อมจากวิกฤติเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ “ยูโรโชน” ประเทศสหรัฐฯ
และ ประเทศญี่ปุ่นแนวการสร้างแนวภูมิคุ้มกันประเทศไทยในอนาคต ให้ยั่งยืน มั่นคง และมั่งคั่ง จะต้องลงทุน
พัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานขนาดใหญ่ และระบบโลจีสติกส์ทางนํ้า เพื่อให้สามารถ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้
และผลผลิตตางๆ แข่งขัน กับสังคมโลกได้
โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ (Mega Project) ที่นักธุรกิจคนไทยและคนต่างประเทศสนใจที่จะลงทุนใน ประเทศไทย
ก็คือ โครงการก่อสร้างคลองกระ หรือ คลองเขื่อมทะเลระหว่างอ่าวไทยกับอันดามัน เป็นเส้นทาง เดินเรือสมุทรของโลก
ขนส่งสินค้าไค้จำนวนมหาศาล
มีเหตุผลเชิงวิชาการและวิทยาศาสตรที่จะพิจารณา ให้โครงการสร้าง “คลองกระ” เป็น “ยุทธศาสตรชาติ” ระยะยาว
เพื่อการพัฒนาประเทศ ก็เพราะประเทศไทยมี ลักษณะเด่นของที่ตั้งทาง “ภูมิศาสดร” (Geographical Location)
นำมาซึ่งพลังอำนาจแห่งชาติ คือ
๑. เป็นศูนยกลางของภูมิภาคอินโดจีนและจีนตอนใต้
๒. เป็นรัฐชายผั่งที่มีอาณาเขตติดตอกับทะเลทั้ง สองด้าน ที่มีแผ่นดินเป็นรูปแหลมยื่นลงไปในมหาสมุทร
อินเดียทางตะวันตก และทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันออก มีความยาวชายฝั่งทะเลประมาณ ๑,๕๐๐ ไมล์ทะเล
จึงมี ลักษณะเด่นในการจะพัฒนาศักยภาพด้านสมุหทานภาพของประเทศให้เข้มแข็งได้ เช่น สร้างอู่ต่อเรือ
ท่าเรือนํ้าสึก และพาณิชย์นาวี
๓. มีสภาพภูมิอากาศที่ไม่เป็นอุปสรรคในการคมนาคมทุกระบบ
๔. มีเส้นทางคมนาคมเขื่อมต่อกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้ ทั้งทางบก และทางเรือ และทางอากาศได้
โดยเฉพาะอยางยิ่ง สามารถพัฒนาเส้นทางคมนาคมทุก ระบบ เชื่อมให้ “ประเทศไทยเฟ้นศูนยกลางของภูมิภาค เอเชีย”