‘กลุ่มปชต.ใหม่’ท้ากรธ.ดีเบตจับผิดรธน.10ข้อบิดเบือน-อัด กกต.ไม่เป็นกลาง ยันขาย-ใส่เสื้อ ‘โหวตโน’ ไม่ผิด
ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยเฉพาะประเด็นความไม่ชัดเจนในข้อห้ามของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ขณะที่กลุ่มนักศึกษาในนามกลุ่ม “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่” ได้ออกมาให้ความเห็นแย้งสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 ข้อ ที่ทางกลุ่มเห็นต่างจาก กรธ.และมองว่าจะเกิดปัญหาในอนาคตขึ้นได้
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 พฤษภาคม ที่ห้องประชุมบุญชู โรจนเสถียร ชั้น 3 อาคารอเนกประสงค์ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ นำโดย นายรังสิมันต์ โรม นายรัฐพล ศุภโสภณ น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ และนายวรวุฒิ บุตรมาตร ได้แถลงข่าวจัดกิจกรรม “จับผิดกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ใครบิดเบือนกันแน่”
นายวรวุฒิกล่าวว่า กรธ.จัดทำคู่มือโดยอ้างเพียงข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญเพื่อโน้มน้าวประชาชนให้รับร่างรัฐธรรมนูญ แต่ขบวนการประชาธิปไตยใหม่เห็นว่า คำอธิบายในคู่มือไม่ได้พูดถึงข้อเสีย และยังมีจุดที่โต้แย้งได้หลายประประการ จึงจัดทำคู่มือเพื่อแสดงการโต้แย้งคู่มือของ กรธ.เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง โดยมีความเห็นแย้งต่อคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ 10 ข้อ ดังนี้ 1.“คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ” ทางกลุ่มเห็นว่า สิทธิบางประการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าจะเกิดได้จริง การที่ประชาชนจะมีความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญอย่างเดียว แต่ต้องมีรัฐบาลที่มีความรู้ ความสามารถ และกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อประชาชนได้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้รับรองความชอบธรรมคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ เช่น คำสั่งลัดขัดตอนอีไอเอ และยังให้ คสช.มีอำนาจตามมาตรา 44
2.“รัฐมีหน้าที่ทำให้สิทธิเป็นจริง” ทางกลุ่มเห็นแย้ง เพราะในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กลับตัดสิทธิของประชาชนในหลายด้าน ทั้งด้านสิทธิการศึกษาที่กำหนดให้ประชาชนเรียนฟรีได้ถึง ม.3 เท่านั้น สิทธิทางสาธารณสุข ก็ตัดคำว่าสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขออกไป จึงอาจเกิดการตีความยกเลิกหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ อีกทั้งด้านสิทธิแรงงานก็ตัดคำว่า ค่าจ้างที่เป็นธรรมที่เคยมีในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนออก อาจทำให้เกิดการตีความตัดสิทธิแรงงานที่จะได้รับค่าจ้าง หรือการรวมตัวออกไป รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้คุ้มครองสิทธิอย่างแท้จริง เพราะนอกจากนี้ยังตัดสิทธิของผู้พิการ ที่ประเด็นการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกไม่พบเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ 3.“หน้าที่ของประชาชน ประชาชนต้องมีความรับผิดชอบเพื่อการพัฒนาประเทศ” ทางกลุ่มเห็นแย้งว่า แม้จะมีการเขียนข้อความดังกล่าว แต่สิทธิในการเลือกตั้งกลับเป็นสิ่งที่ไร้ค่า เพราะพรรคการเมืองที่ถูกเลือกไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ กลายเป็นนายกฯ คนนอกเข้ามาแทน อีกทั้งยังถูกครอบงำจาก ส.ว.สรรหา ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระอยู่ดี อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามกำหนดนโยบายของรัฐบาลเข้าไปในรัฐธรรมนูญ ซึ่งความเป็นจริงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกำหนดนโยบายเอง 4.“การเลือกตั้ง ทุกคะแนนเสียงมีความหมาย” ทางกลุ่มเห็นแย้งว่า รัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้ทำให้ทุกคะแนนเสียงมีความหมายอย่างแท้จริง เพราะประชาชนถูกบีบให้ต้องเลือกทั้งผู้สมัครและพรรคไปด้วยกัน อีกทั้งหากไม่มีผู้สมัครของบางพรรคในเขตใด ประชาชนก็ไม่สามารถลงคะแนนให้พรรคนั้นได้ แม้จะชอบนโยบายของพรรคนั้นมากที่สุด ต้องไปเลือกพรรคที่ชอบน้อยกว่า หรือกาช่องไม่ออกเสียง แทน
5.“ประชาชนทั่วไปสามารถเป็น ส.ว.ได้ โดยมี ส.ว. 200 คน แบ่งเป็น 20 กลุ่มตามความรู้ความสามารถและอาชีพ” ทางกลุ่มเห็นแย้งว่า ไม่มีทางครอบคลุมในทุกสถานภาพและทุกอาชีพของคนในสังคม จึงถือว่าไม่ยึดโยงกับประชาชนได้อย่างแท้จริง อีกทั้งในห้าปีแรก ส.ว.ทั้งหมดจะมาจากการเลือกของ คสช.และมี 6 เก้าอี้ถูกล็อกไว้ให้บรรดา ผบ.เหล่าทัพ ซึ่งยึดโยงเพียงกลุ่มเดียวคือทหาร 6.“ปราบโกงอย่างจริงจัง” ทางกลุ่มเห็นแย้งว่า กรธ.พยายามอ้างว่าที่ผ่านมาประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาได้เพราะงบประมาณแผ่นดินถูกโกงไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว แต่การปราบโกงดังกล่าวมุ่งเน้นเฉพาะนักการเมืองเลือกตั้งเท่านั้น แต่ละเลยกลุ่มการเมืองอื่นๆ เช่น บรรดาทหารที่มีบทบาทในทางการเมืองไทยตลอดมา 7.“ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเข้มแข็งและฉับไวขึ้น” ทางกลุ่มเห็นแย้งว่า ที่ผ่านมาองค์กรตุลาการ และองค์กรอิสระ ต่างก็มีอำนาจมากอยู่แล้ว และมีประวัติแทรกแซงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตลอดมา อีกทั้งสมาชิกองค์กรอิสระบางคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ คสช.จึงยากที่จะคาดหวังว่าจะมีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส 8.“รู้ล่วงหน้าใครมีสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรี” ทางกลุ่มเห็นแย้งว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับเปิดช่องให้สามารถนำคนนอกมาชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้กำหนดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ของผู้ที่จะเป็นนายกฯเอาไว้
9.“ท้องถิ่นเป็นของประชาชน” ทางกลุ่มเห็นแย้งว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตัดถ้อยคำที่กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นออกไป และกำหนดให้มีรูปแบบพิเศษ หรืออาจมาจากการแต่งตั้งได้ รูปแบบพิเศษนี้อาจหมายถึงเขตพัฒนาเศรษฐกิจได้ในอนาคต 10.“ปฏิรูปไทยสู่อนาคต” ทางกลุ่มเห็นแย้งว่า รัฐบาลควรมีอิสระในการกำหนดนโยบายเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่กำหนดรายละเอียดให้รัฐบาลต้องปฏิบัติ โดยมิอาจริเริ่มสร้างสรรค์ได้เอง เนื่องจากการปฏิรูปถูกกำหนดให้ ส.ว.เป็นผู้ควบคุมสูงสุด ซึ่ง ส.ว.ชุดแรกก็มาจากการเลือกของ คสช.ทั้งหมด
หวั่นรธน.ผ่าน“บิ๊กตู่”คัมแบ็กนายกฯอีก
นายวรวุฒิกล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านเราจะมี ส.ว.ที่มาจาก คสช.จำนวน 250 คน หรือหากคำถามพ่วงผ่าน เราจะมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการโหวตของรัฐสภา และไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นในภาวะเช่นนี้ ส.ว.จะเป็นผู้ควบคุมได้โดยที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมเลย
“ต่อไปในอนาคต หากเรารับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เราอาจจะได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้งก็เป็นได้” นายวรวุฒิ กล่าว
ท้าดีเบตกรธ.-ซัด“สมชัย”ไม่เป็นกลาง
นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า จากนี้ไปเรายังคงเป็นคนกำหนดชะตากรรมของประเทศไทยได้อยู่ จนกว่าจะถึงวันหย่อนบัตรประชามติ ที่ผ่านมาเรามักถูกกล่าวหาว่าสิ่งที่พูดเป็นการบิดเบือน ทั้งที่เราพูดตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญ ดังนั้นหาก กรธ.คิดว่าเป็นการบิดเบือนจริง ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ขอท้าดีเบตกับ กรธ. แล้วความจริงจะได้ปรากฏว่า ใครกันแน่เป็นคนบิดเบือนข้อเท็จจริงที่มีในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยขออย่านำกฎหมาย พ.ร.บ.ประชามติมาใช้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของผู้เห็นต่าง
นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า อีกประเด็นหนึ่งคือปัญหาของ กกต.ที่มาจาก พ.ร.บ.ประชามติ โดยในมาตรา 10 ที่ให้ กรธ.สามารถเผยแพร่คำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญได้โดยไม่ถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 61 ในขณะที่อีกฝ่ายไม่สามารถที่จะอธิบายหรือเห็นแย้งได้เลย
“อีกประเด็นหนึ่งคือการให้ความเห็นของคุณสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ซึ่งคุณสมชัยเพียงคนเดียวนั้นไม่ถือว่าเป็นความเห็นของ กกต.ทั้งหมด อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.ควรที่จะเป็นกลางและส่งเสริมบรรยากาศให้มีการแสดงความคิดเห็น จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเวทียูพีอาร์จึงได้ตั้งคำถาม และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระบวนการประชามติในประเทศไทยมากขนาดนี้” นายรังสิมันต์ กล่าว
ยันขายใส่เสื้่อโหวตโนไม่ผิด-ขู่ฟันม.157
นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า อีกทั้งในมาตรา 9 ที่ให้ กกต.ต้องจัดพิมพ์ข้อดีและสาระของร่างรัฐธรรมนูญ คำถามคือ ทำไม กกต.จะต้องมาทำหน้าที่ตรงนี้ ทั้งที่ กกต.มีหน้าที่เป็นกรรมการ ถ้า กกต.ไม่สามารถที่จะเคลียร์ตรงนี้ได้ เท่ากับว่า กกต.กำลังช่วย กรธ.ในการรณรงค์ให้รับร่างรัฐธรรมนูญ และไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกลางอย่างแท้จริง
“นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่มาจากประกาศของ กกต.ที่ห้ามไม่ให้ประชาชนทำกิจกรรมใดๆ ทั้งการขายเสื้อ การจัดกิจกรรม หรือแจกจุลสารเจตนาไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ถือว่าเป็นการกระทำผิด เพราะเราไม่ได้บิดเบือนข้อเท็จจริง ปลุกระดม หรือสร้างความวุ่นวาย เพื่อโค่นล้ม คสช. เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับ เพราะการขายเสื้อ หรือจับคนที่ใส่เสื้อ เพราะประชาชนต้องการแสดงจุดยืนของตนเอง ดังนั้นถ้ามีการจับกุมขอให้ประชาชนแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งจนถึงขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีกับการเคลื่อนไหวโหวตโนของกลุ่มตน
ด้าน น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้ขบวนการประชาธิปไตยใหม่มีเว็บไซต์ของกลุ่มชื่อ www.ndmth.org เพื่อใช้ประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของกลุ่ม รวมถึงแถลงการณ์ต่อกรณีต่างๆ เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและการเมือง นอกจากนี้ยังมีช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ และจุลสาร ทั้งยังมีการแจกสติกเกอร์โหวตโน หกสี กันน้ำ ซึ่งสามารถขอรับได้ฟรีตามงานเสวนาและงานกิจกรรมของกลุ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของการแถลงข่าวมีการจำหน่ายเสื้อที่มีข้อความว่า “โหวตโน ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ” แก่ผู้ที่เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ในช่วงแรกทางกลุ่มแจ้งว่าได้รับการขอร้องไม่ให้จำหน่ายเสื้อดังกล่าว