การถึงแก่อสัญกรรมของฟิเดล คาสโตร ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองโลก เราไปย้อนรอยบทบาทที่สำคัญของ เขากัน
ท่ามกลางการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ทั่วโลก แต่ธงลายทางสีฟ้าขาว พร้อมดาวบนแถบพื้นแดงของคิวบา กลับยังโบกปลิวไสวอยู่ได้ ไม่ห่างจากประเทศเสรีอย่างสหรัฐฯ คือผลงานที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอดีตผู้นำการปฏิวัติคิวบาอย่าง ฟิเดล คาสโตร สามารถปักชื่อตัวเองลงบนหน้าประวัติศาสตร์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ฟิเดล อเลจานโดร คาสโตร รูซ เกิดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ปี 1926 เป็นลูกนอกสมรสของชาวนาเชื้อสายสเปน ที่อพยพเข้ามาก่อร่างสร้างตัวในคิวบา ในวัยเด็กคาสโตรไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นในเชิงวิชาการนัก แต่เขาได้กลายมาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่โดดเด่นในการปราศรัยในที่สาธารณะ ขณะที่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาบานา ช่วงกลางยุค 40 โดยมีแนวคิดทางการเมืองแบบมากซ์-เลนิน กระทั่งจับมือกับเช กูวารา รวบรวมกองกำลังกบฏขับไล่รัฐบาลของผู้นำเผด็จการ ฟุลเฮนซิโอ บาติสตา และเปลี่ยนคิวบาให้เป็นรัฐสังคมนิยมได้สำเร็จในปี 1959 และดำรงตำแหน่งผู้นำทางการเมืองนับแต่นั้นมา ยาวนานกว่า 49 ปี
ฟิเดล คาสโตร ยังตั้งตนเป็นปรปักษ์กับสหรัฐฯ ด้วยการประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต และอณุญาตให้โซเวียตนำอาวุธนิวเคลียร์ไว้บนคิวบาได้ จนนำมาสู่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา เมื่อปี 1962 ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าทางทหารกับสหรัฐฯนาน 13 วัน และถือเป็นความตึงเครียดครั้งใหญ่ที่ทำให้โลกเฉียดใกล้กับการเกิดสงครามปรมาณูมากที่สุด
ตลอดช่วงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งผู้นำของคิวบา ฟิเดล คาสโตร ปฏิเสธการครอบงำของลัทธิทุนนิยม และท้าทายอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯถึง 10 คน อย่างไรก็ตามเกือบ 10 ปีที่ เขาถอยออกมาจากการเมือง ปัจจุบัน คิวบาภายใต้การนำของ ราอูล คาสโตร น้องชายของเขา ได้เปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง เนื่องมาจากนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุน สร้างสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ทำให้สหรัฐฯ ไม่ใช่ศัตรูอย่างเป็นทางการของคิวบาอีกต่อไป
“หากการรอดตายจากการลอบสังหารถูกบรรจุอยู่ในกีฬาโอลิมปิก ผมคงได้เหรียญทองไปแล้ว” คือคำพูดของคาสโตร ที่มักพูดมาโดยตลอดว่าเขาตกเป็นเป้าสังหารมากกว่า 600 ครั้ง ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่ง อย่างไรก็ตามชื่อเสียงด้านโกงความตายของเขา ก็ไม่สามารถต่อต้านสังขาร และโรคภัย ที่พรากชีวิตของคาสโตรไปแล้วในวัย 90 ปี
Cr: voice tv