สิ้นสุดไปแล้วสำหรับมาตรการดูแลและป้องกันอุบัติเหตุทางถนน “7 วันอันตราย” ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2560 ตั้งแต่วันที่12-17เมษายนตามแนวคิด “ขับรถมีน้ำใจรักษาวินัยจราจร” โดย “ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน” (ศปถ.)กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่องค์กรกลางของภาครัฐสั่งการควบคุมและขับเคลื่อนแผนลดยอดเจ็บ-ตายช่วงเทศกาลปีใหม่ไปถึงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี
จากการรวบรวมสถิติในปีนี้สรุปออกมาได้ว่า ตลอด 7 วันมีอุบัติเหตุ 3,690 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 3,808 คน และมีผู้เสียชีวิต 390 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับเทศกาลสงกรานต์ 2559 มีอุบัติเหตุ 3,447 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,656 คน ผู้เสียชีวิต 442 ราย จะเห็นได้ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตลดลง 52 ราย ผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้น 152 ราย ขณะที่อุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 243 ครั้งเช่นกัน โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุดยังคงเป็น “เมาแล้วขับ” ร้อยละ43.06 “ขับรถเร็ว” ร้อยละ27.86ส่วนยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด “รถจักรยานยนต์” มากถึงร้อยละ 84.91 และ “รถปิกอัพ” ร้อยละ6.83ที่สำคัญพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เสียชีวิตและบาดเจ็บ5อันดับแรกยังป็นสาเหตุเดิมๆ1.ไม่สวมหมวกนิรภัย2.เมาแล้วขับ3.ขับรถเร็ว4.ตัดหน้ากระชั้นชิดและ5.รถจักรยานยนต์ไม่ปลอดภัย
ส่วนจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ อุดรธานี 161 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่นครราชสีมา 17 ราย และจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ อุดรธานี 168 คน ขณะที่จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต 4 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ นราธิวาส แม่ฮ่องสอน และสมุทรสงคราม จังหวัดที่ไม่มีผู้บาดเจ็บ 1จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ
เมื่อมองจาก “ปัจจัย” สำคัญช่วยลดยอดผู้เสียชีวิตในปีนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการเข้มงวดการเรียกตรวจยานพาหนะได้มากถึง 5,380,482 คันมีผู้ถูกดำเนินคดีรวม 914,172 ราย 2 อันดับแรกแบ่งเป็นความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัยมากที่สุด 261,675 รายรองลงมาไม่มีใบขับขี่ 244,157 รายขณะที่ถนนสายรองซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่เสี่ยงมีจัดตั้งด่านชุมชน 21,526 ด่านมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกว่า 173,556 คน ศปถ.เชื่อว่าแผนกวดขันวินัยจราจรอย่างจริงจังเป็นส่วนหนึ่งที่บีบให้ “กราฟผู้เสียเสียชีวิต” ในปีนี้ลดลง
สถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 มีจำนวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงกว่าปีที่ผ่านมาร้อยละ 11.76 ซึ่งจำนวนครั้งที่เพิ่มขึ้น ศปถ.วิเคราะห์ว่า เนื่องจากมีการใช้รถใช้ถนนในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตลดลง โดยเฉพาะอัตราการเสียชีวิตที่จุดเกิดเหตุลดลงเหลือร้อยละ 50 จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ร้อยละ 53 แสดงให้เห็นว่า “ดัชนีความรุนแรง” ของอุบัติเหตุลดลงอีกทั้งอุบัติเหตุจากรถกระบะยังลดลงเหลือร้อยละ6.83จากปีที่ผ่านร้อยละ8.85น่าจะมาจากปัจจัยสำคัญจากความร่วมมือของประชาชนโดยเฉพาะการใช้ “อุปกรณ์นิรภัย” และการห้ามบรรทุกผู้โดยสารท้ายกระบะเกิน6คนตามมาตรการพิเศษจากคสช.ทำให้ประชาชนรู้สึกเกรงกลัวต่อความผิดในมาตรการเข้มงวดของเจ้าหน้าที่รัฐที่ออกมาครั้งนี้
แต่ปัจจัยทั้งหมดยังคงพ่ายแพ้ให้กับพฤติกรรม “เมาแล้วขับ” และ “ขับรถเร็ว” พุ่งเป้าไปที่ ความคะนองจากการขับขี่รถจักรยานยนต์และรถที่บรรทุกคนโดยสารท้ายกระบะ จากสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตสูงสุด 3อันดับแรก 1.ขับรถเร็ว 146ราย 2.เมาแล้วขับ 124รายและ3.ทัศนวิสัยไม่ดี 77ราย และสาเหตุอื่นๆ 43ราย รวมผู้เสียชีวิต 390ราย !!!
สำหรับมาตรการ“ลงโทษ”ผู้กระทำผิดขับรถขณะเมาสุราในเบื้องต้น ภาครัฐจะให้ทำงานบริการสังคมในสถานพยาบาลตั้งแต่ห้องฉุกเฉินหนักสุดไปที่ “ห้องดับจิต” เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกผู้กระทำผิดให้รับรู้ถึงความสูญเสียและผลกระทบที่เกิดจากอุบัติเหตุทางถนนโดยขณะนี้มีผู้ถูกคุมประพฤติมาทำงานบริการสังคมในโรงพยาบาล 2,314 ราย โดยล่าสุดอมีผู้ถูกคุมประพฤติมาทำงานบริการสังคมที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี จำนวน 20 ราย โดยเจ้าหน้าที่จะให้ทำความสะอาดอ่างล้างศพและตู้เย็นเก็บศพ แต่ไม่อนุญาตให้แตะต้องศพ ซึ่งมาตรการนี้ ทำให้การกระทำผิดซ้ำลดลงเหลือเพียงร้อยละ 4.6
นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ระบุว่า ในปีนี้พบว่ามีพฤติกรรมเมาแล้วขับเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากปีที่แล้วร้อยละ 34 ส่วนพฤติกรรมการขับรถเร็วลดลงร้อยละ 27 จากปีที่แล้วร้อนละ 32 แต่จากการวิเคราะห์ตัวเลขผู้เสียชีวิตในปีนี้ลดลง แต่อุบัติเหตุเพิ่มมากขึ้นนั้น เชื่อว่ามาจากการสิ่งที่นายกรัฐมนตรี สื่อสารไปยังประชาชน โดยมีหน่วยงานต่างๆช่วยกัน ทำให้ประชาชนมีความระมัดระวังมากขึ้น ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร กรมการขนส่งทางบก หรือกระทรวงสาธารณสุขก็ใช้มาตรการของตัวเองในการบังคับใช้กฎหมาย ตั้งแต่ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดูแลรถโดยสาร ยังมีด่านชุมชนอีกกว่า 2 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งนักวิชาการที่ได้พูดคุยยังวิเคราะห์ด้วยว่าในปีนี้ถือว่าดัชนีความรุนแรงของอุบัติลดลง เพราะประชาชนขับรถช้าลง และใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยมากขึ้น
“เรื่องการเมาเยอะขึ้น จากนี้คงต้องหามาตรการควบคุมพฤติกรรมเมาแล้วจะขับ โดยจะประสานไปยังผู้ประกอบการ หากจะจัดงานที่ไหนจะต้องมีเงื่อนไขมากขึ้น ต้องช่วยดูแลประชาชนที่อยู่ในงานด้วย หากใครเมาต้องห้ามขับรถทันที ซึ่งคงต้องใช้กฎหมาย ควบคู่ไปกับการสร้างจิตสำนึกของประชาชน”รองอธิบดีปภ. ระบุ
ด้าน น.พ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ วิเคราะห์ว่า ในแง่ยอดผู้เสียชีวิตลดลงถือว่าพอใจ เพราะถือว่าไม่มีอะไรสำคัญที่สุดเท่าชีวิต แต่สถิติอุบัติเหตุและผู้ได้รับบาดเจ็บกลับเพิ่มขึ้นว่าช่วงสงกรานต์ปี 2559 จึงวิเคราะห์ได้ว่า ระบบการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุหลังอุบัติเหตุดีขึ้น ระบบกู้ชีพสามารถเดินทางเข้าพื้นที่ได้เร็ว เมื่อผู้ป่วยถึงโรงพยาบาลก็ดูแลต่อได้ทันที ทำให้รักษาชีวิตไว้ได้ ขณะเดียวกันคิดว่าความรุนแรงเมื่อเกิดเหตุแล้วลดลง เพราะคนหันมาใช้อุปกรณ์นิรภัยมากขึ้นด้วยหรือไม่ เช่นเดียวกับการไม่ขึ้นกระบะหลังน้อย เมื่อเกิดเหตุอาจจะไม่ถึงกับชีวิต ส่วนมาตรการที่ภาครัฐต้องทำต่อหลังจากนี้ ต้องขจัดคนเมาและจำกัดความเร็วให้ได้ เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นสาเหตุสำคัญ หากแก้ 2 เรื่องนี้ไม่ได้สถิติอุบัติเหตุต่างๆก็จะยังมากอยู่
“ถ้าแก้ 2เรื่องนี้ได้ความเสี่ยงจะลดลงมาเอง ต้องทำให้คนผิดได้รับโทษจริงๆ อีกทั้งภาครัฐต้องส่งเสริมให้สังคมติดกล้องหน้ารถ ถ้าใครขับรถไม่ดีนำภาพขึ้นโซเชี่ยลมีเดีย เพื่อให้สังคมช่วยประจานกันเอง เพราะสังคมกลัวความอายมากกว่ากลัวตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็นำหลักฐานนั้นไปดำเนินคดีได้อีก เรียกว่าต้องใช้จุดอ่อนคนไทยมาบังคับคนไทยด้วยกันเอง เหมือนคำที่คนไทยชอบพูดว่า เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้”นพ.แท้จริง ระบุ
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 2560 “องค์การอนามัยโลก” ได้จัดให้ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับ 2 ที่เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดของโลก โดยประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2 หมื่นคนต่อปี โดยข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า มีผู้บาดเจ็บเกือบ 1 ล้านคนต่อปี พิการมากกว่า 6 พันคนต่อปี ขีดเส้นใต้ 3 เส้นในช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ กราฟอุบัติเหตุจะพุ่งขึ้นมากกว่าช่วงวันปกติถึง 2 เท่า
ที่สำคัญสังคมส่วนหนึ่งสนับสนุนให้ภาครัฐมองนอกกรอบกับแผนเดิมๆ ในเมื่อแอลกอฮอล์คืออีกตัวการสำคัญสู่หายนะอุบัติเหตุทางถนนหาก”บิ๊กตู่”ไม่พอใจตัวเลขผู้เสียชีวิตเทศกาลสงกรานต์ ต้องกล้า”เปลี่ยน”มาตรการเดิมๆ ไม่ปล่อยให้เทศกาลแห่งความสุข สุ่มเสี่ยงตีคู่ไปกับเทศกาลแห่งความตาย ไม่นั้นยอดอุบัติเหตุและเสียชีวิต จะเป็นแค่ตัวเลขรูทีนผ่านมาและจบไปในช่วงเทศกาลเท่านั้นเอง
ย้อนสถิติอุบัติเหตุทางถนน “7วันอันตราย”ช่วงสงกรานต์ 2549-2560
ปี 2549 อุบัติเหตุ 5,327 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 7,287 คน ผู้เสียชีวิต 485 ราย
ปี 2550 อุบัติเหตุ 4,274 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 4,805 คน ผู้เสียชีวิต 361 ราย
ปี 2551 อุบัติเหตุ 4,243 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 4,801 คน ผู้เสียชีวิต 368 ราย
ปี 2552 อุบัติเหตุ 3,977 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 4,332 คน ผู้เสียชีวิต 373 ราย
ปี 2553 อุบัติเหตุ 3,516 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,802 คนผู้เสียชีวิต 361 ราย
ปี 2554 อุบัติเหตุ 3,215 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,476 คนผู้เสียชีวิต 271 ราย
ปี 2555 อุบัติเหตุ 3,129 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,320 คนผู้เสียชีวิต 320 ราย
ปี 2556 อุบัติเหตุ 2,828 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,040 คน ผู้เสียชีวิต 321 ราย
ปี 2557 อุบัติเหตุ 2,992 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,225 คนผู้เสียชีวิต 322 ราย
ปี 2558 อุบัติเหตุ 3,373 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,559 คนผู้เสียชีวิต 364 ราย
ปี 2559 อุบัติเหตุ 3,447 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,656 คน ผู้เสียชีวิต 442 ราย
ปี 2560 อุบัติเหตุ 3,690 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 3,808 คน ผู้เสียชีวิต 390 ราย